วัดหมื่นเงินกอง ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
ที่ตั้ง : วัดหมื่นเงินกอง เลขที่ 30 ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50200
วัดหมื่นเงินกอง ถนนสามล้าน ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ วัดราษฏร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างวัดเมื่อ พ.ศ. 1912 ได้รับพระราชทานพัทธสีมาเมื่อ พ.ศ.
ประวัติวัดหมื่นเงินกอง
วัดหมื่นเงินกองสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์มังราย รัชกาลของท้าวสองแสนนาหรือพระเจ้ากือนา กษัตริย์องค์ที่ 6 ของล้านนาไทย ระหว่าง พ.ศ. 1910-1931 ชื่อ “วัดหมื่นเงินกอง” ได้มาจากชื่อเสนาคลังคือ หมื่นเงินกอง อันเป็นราชทินนามหรือ บรรดาศักดิ์ ซึ่งพระเจ้ากือนากษัตริย์องค์ที่ 6 ในราชวงศ์มังราย พระราชทานให้แก่ขุนนางที่มีความดีความชอบ อันตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ในสมัยโบราณกาลมีอยู่ 4 ตำแหน่ง โดยใช้คำวา “เสนา” นำหน้าคือ เสนาคลัง เสนาเวียง เสนาวัง และเสนานา แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงเพิ่มตำแหน่งเสนายุติธรรมขึ้นอีกตำแหน่งหนึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเสนายุติธรรมในสมัยรัชกาลที่ 5 คือ เจ้าราชภาคินัย (เมืองชื่น ณ เชียงใหม่)
“หมื่นเงินกอง” ผู้สร้างวัดหมื่นเงินกองนี้ นามเดิมชื่อ เมธัง เคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนามาแล้ว แต่ภายหลังได้ลาสิกขาบทออกมาเป็นฆราวาส มีคำหน้าว่า “หนาน หรือ ทิด” หนานเมธังมีภรรยาชื่อ “นางแก้ว” ตั้งบ้านเรือนอยู่ในบริเวณอันเป็นที่สร้างวัดหมื่นเงินกองนี่เอง หนานเมธังเป็นคหบดีที่มีทรัพย์สินเงินทองอยู่บ้าง สามีภรรยาคู่นี้มีจิตใจที่เคารพเลื่อมในในพระพุทธศาสนา ถืออุโบสถศีลเป็นนิจ เข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ เป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวาง ประกอบด้วยเมตตากรุณาอยู่เสมอ
ประวัติของหนานเมธังนี้ ผู้เขียน(ชุ่ม ณ บางช้าง) ได้รับคำบอกเล่าจากครูบาอินต๊ะวัดดอกเอื้อง กับตุ๊เจ้า (ครูบาอิน) วัดเชียงมั่นและได้พบในใบลานจารึก ที่วัดข่วงสิงห์เมื่อพ.ศ. 2469 มีดังนี้ เรื่องของหนานเมธังกับภริยานี้ เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนา แต่ตามตำนานอ้างว่า ปีลวดเม็ด คือปีมะแม ตรีศกจุลศักราช 693 ซึ่งตรงกับพ.ศ. 1875 แม้นศักราชนี้ถูกต้องแน่ เรื่องของหนานเมธังก็จะอยู่ในรัชสมัยพระเจ้ากือนาได้ได้อย่างเด็ดขาด เพราะหลักฐานสำคัญจากคัมภีร์ ชินกาลบาลีปกรณ์ และพงศาวดาร โยนกต่างยุติต้องกันว่า พระเจ้ากือนาเสวยราชย์เมื่อ จ.ศ. 729 (พ.ศ. 1910) และสวรรคตเมื่อ จ.ศ. 690-696 (พ.ศ. 1871-1877)
แต่จากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เรื่องของหมื่นเงินกอง อยู่ในรัชสมัยของพระเจ้ากือนาอย่างแน่นอน เพียงแต่ในตำนานลงศักราชคลาดเคลื่อนไปเท่านั้น หลังจากหนานเมธังลาเพศสมณะมาครองเรือนครองรักได้ไม่นานนัก ก็มีข่าวแพร่สะพัดถึงเรื่องการเกิดทุพภิกขภัยในท้องที่เมืองพร้าววังหิน (ปัจจุบันคืออำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของนครเชียงใหม่ เมืองพร้าววังหินเกิดข้าวยากหมากแพง เนื่องจากฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ประชาชนขาดแคลนข้าวปลาอาหาร เมื่อหนานเมธังได้ทราบข่าวนี้เป็นที่ชัดแจ้งแล้วจึงได้ปรึกษากับนางแก้วภริยาของตนว่า เมื่อชาวเมืองพร้าววังหินขาดแคลนข้าวปลาเช่นนี้ เราสมควรนำข้าวสารไปขายแก่ชาวเมืองพร้าวซึ่งอดอยาก เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความหิวโหยของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ซึ่งนางแก้วก็เห็นชอบด้วย
วันรุ่งขึ้น หนานเมธังไปซื้อวัวหนุ่มแข็งแรงอ้วนพีมา 4 ตัว พร้อมด้วยต่างสำหรับใส่ข้าวแล้วสองสามีภรรยาก็ออกหาซื้อข้าวสาร แล้วชักชวนเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งเป็นพ่อค้าออกกว้านซื้อข้าวสารไปขายที่เมืองพร้าวด้วยกัน เมื่อได้ข้าวสารพร้อมแล้วก็ออกเดินทางไปยังเมืองพร้าว อันตั้งอยู่ทางทิศเหนือของนครเชียงใหม่กว่าสองพันเส้นต้องนอนค้างตามระยะทางหลายคืน ในที่สุดก็ไปถึงที่หมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ
ชาวเมืองพร้าวที่อดอยากพากันมากลุ้มรุมซื้อข้าวสาร ส่วนคนที่ยากจนขัดสนทรัพย์ไปขอข้าวสารจากพ่อค้าอื่น ๆ ไม่ได้ ก็พากันมาขอข้าวสารจากหนานเมธัง ๆ ก็แจกจ่ายข้าวสารให้โดยไม่เรียกร้องเอาเงินทองใด ๆ เลย การกระทำเช่นนี้เป็นเหตุให้ข้าวสารของหนานเมธังปรากฏว่าขาดทุนมากมาย แต่หนานเมธังกับภริยาก็หาย่อท้อไม่ กลับมาถึงบ้านพักผ่อนอยู่ได้ไม่กี่วัน ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมชาติชาวเมืองพร้าวที่อดอยาก หนานเมธังออกกว้านซื้อข้าวสารไปขาย และแจกจ่ายให้ชาวเมืองพร้าวที่อดอยากอีกเป็นคำรบสอง และก็ขายครึ่งหนึ่งให้ทานครึ้งหนึ่งเช่นที่แล้วมา แต่ก็ยังหาทั่วเมืองไม่ หนานเมธังกับภริยาตั้งใจจะนำข้าวสารไปขายอีกเป็นครั้งที่สาม แต่เนื่องจากหนานเมธังขาดทุนถึงสองครั้ง เงินทองจึงเหลือน้อยไม่พอเป็นทุนซื้อข้าวสาร จึงขอให้ภริยาไปยืมเงินพ่อตามาสมทบอีก ครั้นซื้อข้าวได้พอแก่ความต้องการ
หนานเมธังกับภริยาก็เดินทางไปเมืองพร้าวอีกเป็นวาระที่สาม เมื่อเหยียบย่างเข้าไปในเมืองพร้าวครั้งนี้ พบว่าสถานการณ์กลับเลวร้ายยิ่งกว่าสองครั้งก่อน คนที่ยากจนไม่มีเงินทองซื้อข้าวมีจำนวนมากขึ้น หนานเมธังจึงตัดสินใจขายข้าวไปส่วนหนึ่ง ที่เหลืออีกสองส่วนแจกจ่ายให้คนที่ยากจนหมดเลย พอของที่นำไปขายหมดลง หนานเมธังกับพวกพ่อค้าก็พากันเดินทางกลับ หนานเมธังรู้สึกวิตกมาก เป็นหนี้พ่อตาไม่ทราบว่าจะหาเงินที่ไหนไปใช้หนี้พ่อตาได้ เลยเดินทางอย่างทอดอาลัย ในที่สุดก็ล้าหลังเพื่อนพ่อค้าด้วยกัน
เมื่อพวกพ่อค้าเดินทางมาถึงบ้านแล้ว นางแก้วไม่เห็นสามีกลับมาด้วยจึงเป็นห่วงได้สอบถามพวกพ่อค้า ได้รับคำตอบว่าหนานเมธังเดินทางล่าช้ามายังเดินทางมาไม่ถึง นางแก้วเป็นห่วงจึงออกตามหาสามี จนพบที่แม่ทะเยือง (ในตำนานเรียก แม่ชะเยือง) นางแก้วก็อ้อนวอนสามีให้กลับบ้าน สองสามีภรรยาพร้อมด้วยวัว 4 ตัว เดินทางมาถึงวัดพระนอนขอนม่วง (ปัจจุบันเรียก พระนอนแม่หยวก) หนานเมธังจึงบอกให้ภริยาหยุดพักเสียก่อน
เนื่องจากเป็นเวลาตะวันอยู่ตรงศรีษะ อากาศร้อนมาก แล้วหนานเมธังก็ล่ามเชือกปล่อยวัวให้กินหญ้า หนานเมธังขอให้นางแก้วดูแลวัวไว้ ส่วนตนเองจะเข้าไปไหว้พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) ตามที่เคยปฏิบัติมาเป็นเนืองนิตย์ นางแก้วเห็นสามีไปไหว้พระนอนนานพอสมควรแล้วยังไม่เห็นออกมาจึงปล่อยให้วัวกินหญ้าตามลำพัง ตนเข้าไปตามหาสามีในวัด ในขณะนั้นวัวตัวหนึ่งดึงเชือกที่ผูกไว้ขาดออก ด้วยความคึกคะนองโลดแล่นไปตามลำพัง ได้ใช้เขาคุ้ยขวิดจนตลิ่งพังลง
นางแก้วเข้าไปพบสามียังสวดมนต์ไหว้พระยังไม่เสร็จจึงกลับออกไปดูวัวที่ผูกไว้ให้กินหญ้า นางแก้วเห็นวัวหายไปตัวหนึ่ง จึงรีบออกติดตามไปพบวัวกำลังใช้เขาทั้งคู่ขวิดงัดแงะดินออก มีก้อนวัตถุสีเหลืองสีขาวติดดินที่วัวงัดแงะออกมาเป็นอันมาก เมื่อเข้าไปหยุดดูก็ทราบว่าเป็นก้อนทองคำและก้อนเงินก็ตื่นเต้นตกตะลึงไปชั่วครู่ พอได้สติก็รีบลนลานเข้าไปบอกสามีให้ทราบ หนานเมธังก็บอกให้ภริยาออกไปก่อน เนื่องจากตนสวดมนต์ไหว้พระยังไม่เสร็จ
เวลานั้นเป็นเวลาที่ตะวันลับฟ้าพอดี ครั้นหนานเมธังสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้วก็ออกไปหาภริยา และก็พบของมีค่าทั้งเงินทองก็ดีใจยิ่งนัก แต่โดยที่ตนไม่ใช่คนโลภมาก จึงนั่งคุกเข่าลงบนตลิ่ง แล้วกล่าวคำอธิษฐานต่อรุกขเทวดาและอารักเทวดาว่า “หากแม้นของมีค่าทั้งหมดนี้เคยเป็นสมบัติของตนในอดีต หรือปัจจุบันชาตินี้ ขอให้สิ่งของมีค่าเหล่านี้จงเป็นเงินเป็นทองคำอย่างเดิม แต่หากมิใช่ของที่ตนควรได้ก็ขอให้สิ่งของมีค่าเหล่านี้ จงอันตรธานไปในทันที”
เมื่ออธิษฐานเสี่ยงทายอยู่ถึงสามครั้งโลหะล้ำค่าทั้งหมดก็มิได้อันตรธานไป วัตถุล้ำค่าเหล่านี้ยังคงอยู่หาได้สูญหายไปไม่ หนานเมธังกับภริยาจึงขนของมีค่าเหล่านั้นบรรทุกหลัววัวทั้ง 4 ตัว แล้วจึงเดินทางต่อ เมื่อเดินทางได้ระยะหนึ่ง พบบ่อน้ำมีชื่อว่าหมาเลีย ก็ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นคือ วัวตัวหนึ่งสะดุดก้อนอิฐล้มลงถึงแก่ความตายริมบ่อน้ำ หนานเมธังกับภริยาช่วยกันเก็บเงินทองจากวัวตัวตายไปใส่ต่างวัวอีกสามตัวแต่ใส่ไม่หมดจึงขุดหลุมฝังไว้ใกล้บ่อน้ำนั้น ส่วนวัวตัวที่ตายก็เอาใบไม้กิ่งไม้ทับถมไว้มิดชิดแล้วพากันเดินทางต่อ
จนเวลาล่วงห้าทุ่มจึงมาถึงบ้าน อาบน้ำชำระร่างกายสะอาดหมดจดแล้วพอกันเข้านอนแต่กลับนอนไม่หลับ เพราะมัวคิดถึงเงินทองที่ได้มามิรู้ว่าควรทำประการใดดี ฝ่ายภริยาก็ออกความคิดเห็นว่า สมัยนี้ชาวบ้านชอบใส่ลานหู สมควรหาช่างฝีมือดีมาตีตาลานหูขายให้ชาวบ้านดีกว่า หนานเมธังก็เห็นชอบด้วย วันรุ่งขึ้นออกหาช่างตีลานหู เมื่อได้มาแล้วก็เอาทองคำและเงินออกมาให้ช่างตีลานหูทองคำ ส่วนคนที่มีฐานะพอมีพอกินก็ซื้อลานหูเงิน ขายได้เงินมากพอที่จะใช้หนี้ที่ยืมมาจากพ่อตา
เมื่อปลดเปลื้องหนี้สินหมดสิ้นไปแล้ว แต่พวกชาวบ้านยังนิยมใส่ลานหูกันมากอยู่ ลานหูของเมธังจึงขายดีและแพร่หลายยิ่งขึ้นเมื่อเก็บเงินได้มาก หนานเมธังจึงปรึกษากับภรรยาว่าจะสร้างวัดขึ้นสักวัดหนึ่ง เมื่อตกลงกันได้แล้ว จึงแบ่งที่ดินในบริเวณบ้านของตนเองสร้างเป็นอารามขึ้น ตั้งชื่อว่า “วัดช่างลาน” เพื่อเป็นอนุสรณ์ของภรรยา (ปัจจุบันเป็นวัดร้าง ซึ่งกรมศาสนาจัดและให้เทศบาลนครเชียงใหม่เช่า)
ในสมัยนั้น เป็นสมัยที่พระเจ้ากือนาปกครองราชอาณาจักรล้านนาไทยเป็นองค์ที่ 6 ในราชวงศ์มังราย พระเจ้ากือนาเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าผายู หรือ หรยู หรือ ตายูมหาราช ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1910 สวรรคต พ.ศ. 1931 ปกครองราชอาณาจักรเป็นเวลา 21 ปี พระเจ้ากือนาทรงทราบว่า หนานเมธังเป็นคหบดี มีใจบุญสุนทานเคยช่วยเหลือราษฎรชาวชนบทที่อดอยากข้าวปลาอาหารมาหลายครั้ง ทรงพระราชดำริว่า หนานเมธังเป็นคนดี มีคุณธรรมคือ ความเมตตา กรุณาอยู่ในสันดาน บังเอิญเสนาคลังหรือมนตรีคลังของพระองค์ถึงแก่กรรมลง จึงรับสั่งให้มนตรีวังของพระองค์เชิญหนานเมธังเข้าเฝ้าในพระราชวัง พระองค์ได้ทอดพระเนตรรูปร่างลักษณะทรงสนทนาปราศรัยกับหนานเมธังเป็นที่สนพระทัย จึงทรงชักชวนให้รับราชการในตำแหน่ง “เสนาคลัง” พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้นามว่า “หมื่นเงินกอง”
พระเจ้ากือนา หรือกิจนาพระองค์นี้ ทรงมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง พอดีมีข่าวแพร่สะพัดมาถึงเชียงใหม่ว่าที่เมืองสุโขทัยมีพระภิกษุชาวเมืองสุโขทัยรูปหนึ่ง ได้ออกไปศึกษาพระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์จากพระอุทุมพรมหาสวามีซึ่งไปศึกษาลัทธิพระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์มาจากลังกาทวีป และพระเถระสุมนได้เข้าพิธีอุปสมบทใหม่ในสำนักของพระอุทุมพรมหาสวามีด้วย พระเจ้ากือนาทรงมีพระราชสาส์นไปอาราธนาพระอุทุมพรมหาสวามี เข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาและอุปสมบทกุลบุตรให้ล้านนาไทย แต่พระอุทุมพรมหาสวามีมีภาระมากมายอยู่ในสามัญประเทศไม่สามารถมาตามคำเชิญ จึงให้อานนท์เถระกับสานุศิษย์อีก 9 รูป มายังล้านนาไทย พระเจ้ากือนาทรงอาราธนาให้จำพรรษา ณ วัดโลกโมฬี (ปัจจุบันได้ปฏิสังขรณ์หลังจากที่เป็นวัดร้างมา) พระเจ้ากือนาทรงอ้อนวอนให้พระอานนท์เถระ ทำการอุปสมบทแก่กุลบุตรในล้านนาไทย แต่พระอานนท์เถระได้ถวายพระพรให้ทราบว่าพระอุทุมพรมหาสวามีมิได้อนุญาตให้ท่านพระอานนท์เถระทำพิธีบรรพชาอุปสมบทใคร ๆ ได้ แต่พระมหาเถรสุมนที่กรุงสุโขทัยนั้นได้รับอนุญาตจากพระอุทุมพรมหาสวามีให้บรรพชาอุปสมบทกุลบุตรได้พระเจ้ากือนาจึงมีพระราชสาส์นไปอาราธนาพระสุมนให้มาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองเชียงใหม่
พระมหาสุมนได้มีลิขิตมาถวายพระเจ้ากือนา ขอให้พระราชสาส์นไปขอต่อพระเจ้าเลอไทแห่งกรุงสุโขทัย พระเจ้ากือนาทรง ตั้งให้ “หมื่นเงินกอง” เป็นราชทูต ปะขาวยอดเป็นอุปทูต ปะขาวสายเป็นตรีทูต นำพระราชสาส์นไปกับเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงสุโขทัย เมื่อพ.ศ. 1910 กษัตริย์สุโขทัยจึงทรงอนุญาตให้พระมหาเถระสุมนมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนาไทยโดยทั้งสองอาณาจักรนี้จึงมีสัมพันธไมตรีใกล้ชิดกันมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนเม็งรายมหาราชแล้ว บังเอิญพระสุมนเถระท่านได้พระบรมธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาจากเมืองบางรา เป็นเมืองเล็กและร้างแล้วอยู่ในอาณาจักรสุโขทัย ท่านสุมนเถระไปธุดงค์และปักกลดาอยู่ ณ ที่หนึ่ง ขณะที่กำลังบริกรรมภาวนาก็ปรากฏฉัพพรรณรังสีพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินและท่านได้นิมิตเห็นเทวดามาบอกว่า พระบรมธาตุยังอยู่ในใต้ดิน ใต้กอต้นดอกเข็มซึ่งมีลักษณะเหมือนม้านั่ง (ตั่ง) จึงทำเครื่องหมายไว้ และระดมสานุศิษย์มาขุดก็พบฝังดินอยู่ใต้กอดอกเข็มจริงดังความฝัน เมื่อเปิดออกก็พบตลับทองคำใบเล็ก และในตลับทองคำนั้นมีพระบรมธาตุขนาดเมล็ดข้าวสารหักจึงทำพิธีสรงน้ำพระบรมธาตุ ๆ ก็สำแดงปาฏิหาริย์เกิดฉัพพรรณรังสีสวยงามยิ่งนัก ต่อมาข่าวนี้แพร่ไปถึงพระศรีธรรมราชมหาอุปราชสุโขทัย ซึ่งครองเมืองศรีสัชนาลัย ของให้นำพระบรมธาตุไปให้พระองค์ลองสักการะบูชาดู พระมหาสุมนเถระก็นำพระบรมธาตุไปให้กระทำพิธีสรงน้ำพระบรมธาตุก็สำแดงปาฏิหาริย์ ปรากฏเป็นฉัพพรรณรังสีอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาพระเจ้ากรุงสุโขทัยทรงทราบข่าวนี้เข้า จึงอาราธนาพระสุมนเถระให้นำพระบรมธาตุไปทำพิธีสรงน้ำ ณ กรุงสุโขทัย พระเจ้ากรุงสุโขทัยทำพิธีสรงน้ำอย่างเอิกเกริก แต่พระบรมธาตุกลับไม่สำแดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏเลย กษัตริย์สุโขทัยจึงมอบพระบรมธาตุให้เป็นลัทธิของพระสุมนเถระ พระสุมนเถระได้ทราบจากเทพสังหรณ์ว่า พระบรมธาตุมีความประสงค์จะอยู่ในล้านนาไทย จึงได้เดินทางไปสู่ล้านนาไทยพร้อมด้วยสามเถร ซึ่งเป็นหลานชายท่านอีกรูปหนึ่ง พระเจ้ากือนาเสด็จไปทรงต้อนรับพระมหาเถระถึงเมืองหริภุญชัย ซึ่งในครั้งนั้นเมืองหริภุญชัยถูกทหารพ่อขุนมังรายโจมตีด้วยธนูเพลิงภายในเมืองไหม้หมดสิ้น แต่ที่วัดพระยืนนอกเมืองยังสมบูรณ์อยู่ พระเจ้ากือนาทรงจัดให้พระสุมนเถระจำพรรษาที่วัดนั้น พระมหาเถระได้ถวายพระบรมธาตุที่นำมาให้พระเจ้ากือนา พระองค์ทรงประกอบพิธีสรงน้ำพระบรมธาตุ ๆ สำแดงปาฏิหาริย์เปล่งฉัพพรรณรังสีสวยงามน่าพิศวงและมีพระบรมธาตุอีกองค์หนึ่งลอยมาลงอ่างสรง เปล่งฉัพพรรณรังสีแข่งกัน เป็นเหตุให้พระเจ้ากือนาทรงบังเกิดความเลื่อมในศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง พระสุมนเถระทรงปรารถว่า วัดพระยืนมีพระพุทธรูปอยู่องค์เดียวดูเงียบเหงานัก พระเจ้ากือนาจึงทรงสร้างพระพุทธรูปยืน ขึ้นอีก 3 องค์ จึงกลายเป็น 4 องค์ ปัจจุบันอยู่ภายในมณฑปจึงมองไม่เห็น เห็นแต่รูปปั้นนอกมณฑป พระมหาเถระ จำพรรษาอยู่ที่หริภุญชัย 2 ปี พระเจ้ากือนาทรงอาราธนามาอยู่เชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. 1912 ร่วมจำพรรษาอยู่กับพระอานนท์เถระที่วัดโลกโมฬีถึง พ.ศ. 1914 จึงยอมยกพระราชอุทยานสวนดอกพะยอม (ปัจจุบันคือวัดสวนดอกพระอารามหลวง) นอกประตูเมืองเชียงใหม่ด้านทิศตะวันตกให้เป็นวัด ทรงสร้างพระอารามใหญ่โตขึ้น ตั้งชื่อว่า “วัดบุปผาราม” ในตำนานมูลศาสนามีว่า “ครั้งนั้นธรรมิกราช (ท้าวสองแสนนา) ปรากฏว่าเป็นเอกราชในประเทศหนนั้น (ประเทศล้านนาไทย) เสวยราชสมบัติในนพบุรีศรีมหานครพิงค์ชัยเชียงใหม่ ประกอบด้วยศรัทธาฤาชาทั่วทิศ ย่องบูชาแก้ว 3 ประการ ท่านมีอัธยาศัยมักใคร่ให้ศาสนารุ่งเรืองในเมืองของตน ครั้นรู้ข่าวว่าความสมบูรณ์ด้วยสีลาธิคุณแห่งอุทุมพรบุปผ่ามหาสวามีเจ้า แต่เทืองพ้นโน้น จึงให้แต่งเครื่องบูชาพร้อมด้วยคนผู้ฉลาดด้วยโวหาร และเจรจาไพเราะให้ไปหาอุทุมพรบุปผามหาสวามีตนอุดม ที่เอาศาสนามาแต่ลังกาทวีปด้วยคำว่าฉันนี้ ข้าแต่มหาสวามีเจ้าตนอุดม ข้าไหว้ตีนเจ้าทั้งสองจากแต่ไกลด้วยน้ำใจงาม ข้าขอให้เจ้ากูตนอุดมมายังเมืองข้า เพื่อปล่อยสัตว์ให้พ้นจากทุกข์แล” ครั้งนั้นคนใช้ก็นำเอาข่าวสาสน์และเครื่องบูชาไปยังสำนักเจ้าไท ก็บูชาด้วยเครื่องบูชาแล้วบอกสาสน์ทั้งมวลแก่เจ้าไทนั้นแล ครั้นนั้นอุทุมพรมหาสวามีได้ยินพระราชสาสน์มาถึงหู ดังนั้น เจ้าจิ่งคำนึงในใจว่าฉันนี้ “เมืองไทย มีลูกศิษย์กูชื่อท่านสุมน หากจักให้สาสนารุ่งเรืองแล” แม้คำนึงดังนั้นก็ดี เจ้าไทก็ใช้ศิษย์ตนชื่อเจ้าอานนท์เป็นลูกชาวเมืองพ้น อันแก่กว่าชาวเจ้า 12 คน ที่ไปบวชในลังกาทวีปโน้น ให้มาสงเคราะห์เจ้ากือนานั้นแล เจ้าอานนท์พร้อมด้วยสงฆ์บริวารก็มาถึงเชียงใหม่ สิ้นหนทางได้ 20 โยชน์โดยสวัสดีทุกคนนั้นแล ครั้งนั้น ท้าวกือนามีความยินดีแก่เจ้าอานนท์และสงฆ์ที่มาถึงด้วยความสุขสำราญ ก็กระทำการสักการะด้วยคันธะดวงดอกแล้ว ก็แต่งจตุปัจจัยแก่เจ้าไทให้สุขสบายนั้นแล เจ้าอานนท์ก็เทศนาแก่พระยาอันเป็นอนุสาสนี ตามประเวณีอันเป็นสัพพัญญูนั้นแล ครั้งนั้น ธรรมราช คือ ท้าวกือนา ได้ฟังเทศนาแห่งเจ้าอานนท์ ก็บังเกิดความโสมนัส จึงเจรจากับเจ้าอานนท์ว่า “ข้าแด่เจ้ากู สังฆกรรมอันแต่ลังกา อันมหาสวามีเจ้าเก่งเรานำมา ขอให้เจ้ากูกระทำสังฆกรรมยังเมืองแห่งข้านี้เถิด” เมื่อเจ้าอานนท์ได้ยินคำแห่งท้าวกือนา เจ้าก็มิใคร่กระทำสังฆกรรมตามท้าวกือนาขอนั้น เหตุมิได้รับอนุญาตแต่สำนักครูแห่งตน ก็มีอนุสนธิเจรจากับด้วยพระยาดังนี้ “ดูกรามหาราช ตนมีธรรม เจ้าไทตนอยู่เมืองสุโขทัย ชื่อว่าสุมนนั้น เป็นครูแห่งเรา หากได้ปลงอาชญาไว้ใน สังฆกรรม หมาราชจงไปนิมนต์ท่านเจ้าไทมาเถิด เราจักได้เจ้าไทมาเป็นประธานแก่สงฆ์ทั้งมวลจิ่งควรแล” ครั้งนั้น ท้าวกือนาได้ยินข่าวสาสน์อันหนัก ก็มีวิตกวิจารณ์อันบานด้วยปิติ รู้ข่าวว่าพระธาตุเจ้าอันอุดมแห่งมหาสุมน อันเจ้าอานนท์หากบอกมาในปางนั้น ทีนั้นธรรมราชท้าวกือนา ก็เจรจากับด้วยปะขาว 2 คน (ปะขาวยอด ปะขาวสาย) และอำมาตย์ผู้หนึ่งชื่อว่า “หมื่นเงินกอง” แล้วให้แต่งเครื่องบูชาไว้เพื่อจักไปอาราธนาเจ้าสุมนพระยาพิจารณาตกแต่งทุกอันแล้ว ก็ใช้ไปด้วยเร็วพลันเพื่อนิมนต์เจ้าตนชื่อสุมน อันเอาใจใส่ใน สังฆกรรม อยู่ในเมืองสุโขทัยโพ้นแล ครั้งนั้นคนใช้ของท้าวกือนา เอาเครื่องบูชาไปถึงที่จอด แล้วตกแต่งเครื่องบูชาอันนำมาเข้าไปไหว้ด้วยสัจจะคารวะบริบูรณ์ทุกอันแล้ว ยังราชโองการอันเป็นตำนานก็ยกออกมาเพื่อนิมนต์อันเป็นอนุสนธิว่าฉันนี้ “ข้าแต่มหาเถระเจ้าตนเป็นที่เข้าสู่บริษัท ผู้ข้านี้เป็นราชทูตแห่งเมืองขุนน้ำ ด้วยอำนาจ แห่งท้าวกือนา ตนมีศรัทธาในศาสนาแห่งสัพพัญญู เพื่อให้มานิมนต์เจ้ากูตามประกอบด้วยมหากรุณาและสั่งมาว่าฉันนี้ ข้าแต่เจ้ากูตนประกอบด้วยคุณเป็นอันมาก ขอเจ้ากูมาปลูกรากศาสนา ในเมืองแห่งข้านี้เถิด” “บัดนี้ เจ้าอานนท์ยังขวนขวายยังคอยท่า เพื่อจักมาแห่งกู” เจ้าไทคำนึงในใจว่า “ไม่ควรแก่ตน คำนิมนต์เจ้ากูบ่รับจึงบังคับให้เจ้าสัทธาติสสเถระมาสงเคราะห์ท้าวกือนานั้นแล” ครั้งนั้น “หมื่นเงินกอง” กับทั้งปะขาวยอด ปะขาวสาย ก็มาไหว้ท้าวกือนาว่าฉันนี้ “ข้าแกต่มหาราชเจ้า ให้ตูข้าไปนิมนต์มหาสุมนเจ้า ตามคำแหงมหาราชเจ้าทุกอันเจ้าไทบ่รับนิมนต์ ก็บังคับให้เจ้าสทธชาติสสเถระมาสงเคราะห์มหาราชเจ้า กับ ตูข้านี้แล” ครั้งนั้น ท้าวกือนาก็ให้ข่าวสาส์นนั้นไปบอกแก่เจ้าอานนท์ ๆ ก็บ่มักกระทำสังฆกรรมด้วย เจ้าสัทธาติสสนั้น เหตุคารวะในครูแห่งตนไซร้ ท้าวกือนาก็ยินดีกับเจ้าอานนท์มากนัก เหตุเจ้าอานนท์คารวะในครูแห่งตนแล ท้าวกือนาให้แต่งของฝากไปถึงพระธรรมราชา (พระมหาธรรมลิไท) อันเป็นเจ้าเมืองสุโขทัย กับให้แต่งเครื่องบูชาแก่พระสุมนเถระเจ้า เพื่อจักให้เจ้าไทมาปลูกศาสนาให้รุ่งเรืองในเมืองของตนแล้ว จึงให้เขาทั้ง 3 คน (หมื่นเงินกอง ปุขาวยอด ปะขาสาย)นั้นไป ครั้นไปถึงแล้วก็ขึ้นไปถวายของฝากแก่พระยาสุโขทัยแล้ว ก็เข้าไปบอกข่าวขออาราธนาพระสุมนเถระเจ้าด้วยวาจาอันมีสิทธิ์ติดกับด้วยศรัทธาธิคุณ อันจักให้รุ่งเรืองแก่ท้าวกือนาทุกอันแล ต่อมานางแก้วภริยาของหมื่นเงินกองฝันว่าพระยาอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ดีเพราะมีวัดช่างลานอยู่ในพื้นที่เดียวกัน สองสามีภรรยาจึงปรึกษากันและตกลงใจสร้างวัดขึ้นที่บ้านของตน แล้วตั้งชื่อว่า “วัดหมื่นเงินกอง” ตามราชทินนามของเจ้าของที่ดิน และยศถาบรรดาศักดิ์ที่ตนได้ ตามหลักฐานดังกล่าว มหาอำมาตย์หมื่นเงินกอง ผู้สร้างวัด ระหว่าง พ.ศ. 1882-1916 พร้อมทั้งเสนาสนะ มีกุฏิ วิหาร พระเจดีย์ ได้ขนานนามว่า “วัดหมื่นเงินกอง” ระยะเวลาที่หมื่นเงินกอง คนสร้างวัดหมื่นเงินกองน่าจะเป็นภายหลังที่พระเจ้ากือนาทรงอาราธนาพระสุมนเถระมายังนครพิงค์แล้วคือ ประมาณหลังพ.ศ. 1912 จนถึง พ.ศ. 1916 อันเป็นระยะเวลาที่พระเจ้ากือนาทรงสร้างวัดบุพพารามแล้วเสร็จ
งานสถาปัตยกรรม
1 .พระธาตุเจดีย์ เป็นสถาปัตยกรรมของเชียงใหม่ แบบของเจดีย์เป็นแบบผสมระหว่างเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมของศรีสัชนาลัยผสมทรงกลมของเชียงใหม่ ซึ่งไม่ทราบว่าทรงเดิมเป็นอย่างไร ที่เห็นปัจจุบัน ได้ก่อครอบทับองค์เดิมไว้ เมื่อประมาณเดือน พฤษภาคม 2534 ได้ถูกฟ้าผ่า เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่พระธาตุเจดีย์ไม่มีสิ่งเสียหายหรือชำรุด
2 วิหาร เป็นวิหารไม้โบราณทรงความงดงามตามแบบสถาปัตยกรรมล้านนา ความสวยงามของลายดอกหน้าจั่ว และทรวดทรงงดงามเทียบได้ไม่น้อยกว่าที่อื่น เค้าโครงฝีมือชั้นครูยังปรากฏให้เห็นเด่นชัด ได้รับการบูรณะในปี พ.ศ. 2502 โดยพระครูสีลสังวร พร้อมคณะศรัทธา และอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2532 โดยพระครูมงคลสิริวงศ์
3 พระนอน – วิหารพระนอน คำจารึกบนไม้สัก ความว่า “ในปีกาบเส็ด จุลศักราช 1155 (พ.ศ. 2336) เดือน 6 แรม 5 ค่ำ ภายในหมายมี (ครูบาเจ้า) สิริเป็นเค้า… ถึงจุลศักราช 1198 ปีรวายสง้า (พ.ศ. 2375 ปีมะเมีย โทศก) เดือน 8 เพ็ญ เม็งวันเสาร์ ยกเสาวิหาร ถึงจุลศักราช 1218 ปีรวายสี (พ.ศ. 2399 ปีมะโรง โทศก) เอน 6 เพ็ญเม็งวันอาทิตย์ ยกเสาวิหารพระนอน และซ่อมพระนอน ถึงจุลศักราช 1225 ปีเต่าเส็ด (พ.ศ. 2406 ปีจอ อัฐศก ) เดือน 8 เพ็ญ เม็งวันจันทร์ ภายในมีสวาธุเจ้าหลวงพุทธ วัดหมื่นเงินกอง สวาธุเจ้าสิริ วัดช่างลาน และสวาธุธนัญชัย สวาธุเจ้าหลวงพรหม วัดพวกหงษ์ และนอกหมายมีเจ้าบุรีรัตน์หัวเมืองแก้ว เป็นประธาน พร้อมทั้งบรมวงศานุวงศ์และพลเมือง ได้ลงรักปิดทองพระพุทธไสยาสน์ อบรมพุทธาภิเษก ฉลองวิหารทั้งสองหลัง ถวายทานไว้ในพระพุทธศาสนาเป็นเสร็จพิธี” พระนอนเป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ปางไสยาสน์ศิลปกรรมแบบเชียงใหม่ ประทับบนฐานบัวภายในซุ้ม นับว่าเป็นพระพุทธรูปโบราณล้ำค่าองค์หนึ่ง น่าเสียดายที่ไม่พบหลักฐานประวัติความเป็นมามากไปกว่าคำจารึกบนไม้สัก
ลำดับเจ้าอาวาสวัดหมื่นเงินกอง
ลำดับเจ้าอาวาส:
1. พระครูบาสิริ พ.ศ. 2336
2. สวาธุเจ้าหลวงพุทธ พ.ศ. 2379-2406
3. พระอธิการจันทร์แก้ว สิทฺธิโก พ.ศ. 2460-2492
4. พระสุภาพ อาภาโส (รักษาการ) พ.ศ. 2493-2494
5. พระบุญส่ง ปสาทจิตฺโต (รักษาการ) พ.ศ. 2495-2498
6. พระครูสีลสังวร (ทองอินทร์ สิลสํวโร) พ.ศ. 2499-2524
7. พระครูอุดรศาสนกิจ (อเนก อาภาธโร) พ.ศ. 2526-2529
8. พระครูมงคลศิริวงศ์ (วงศ์เจริญ กิตฺติทตฺโต, ป.ธ. 5) พ.ศ. 2530-2535
9. พระมหาบุญทอง ปญฺญาธโร (น.ธ.เอก, ป.ธ. 6, พธ.บ) พ.ศ. 2535-2537
10. พระครูบุญมา จิธรญาโท (น.ธ.เอก, ป.ธ.6, พธ.บ.) พ.ศ.2537-ปัจจุบัน
แผนที่วัดหมื่นเงินกอง ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

















